บ้าน บ้านจัดสรรคืออะไร และมีข้อดี ข้อเสียอะไร ความหมายของ บ้าน จัดสรร บ้าน จัดสรรความใฝ่ฝันของหลายคนเมื่อเติบโตขึ้นมามีงานมีการทำ มีเงินเดือนใช้เป็นของตัวเองก็คืออยากมีบ้านสักหลังเอาไว้อยู่อาศัย
เพื่อที่ว่าในยามแก่เฒ่าไปอย่างน้อยที่สุดเราก็ยังมีบ้านเพื่อให้ได้พักผ่อนไม่ต้องไปเช่าหรือเร่ร่อนตามสถานที่ต่างๆ การเลือกซื้อบ้านจึงกลายเป็นจุดมุ่งหวังใหญ่ในชีวิตของคนจำนวนมากบ้าน
บ้านจัดสรรเลยกลายเป็นสิ่งที่ผู้คนส่วนใหญ่ให้ความสนใจที่อยากเอามาครอบครองเป็นของตนเองสักหลัง แต่หลายอาจยังมีข้อสงสัยมากมายเกี่ยวกับเรื่องราวของบ้านจัดสรรซึ่งสามารถอ่านรายละเอียดได้
บ้านจัดสรร คือ สถานที่หรือบริเวณที่มีผู้ประกอบการยื่นขออนุญาตจัดสรรแบ่งแปล่ง ที่ดินสำหรับลงทุน ปลูกสร้างบ้าน เพื่อขายให้กับผู้ที่สนใจจะซื้อรวมถึงยังมีพื้นที่ต่างๆ รอบบริเวณโครงการที่ปลูกสร้างให้ผู้ที่เข้ามาอยู่ได้ใช้ประโยชน์ร่วมกัน ไม่ว่าจะเป็นถนนหนทางภายในหมู่บ้าน สวนสาธารณะภายในหมู่บ้าน ห้องออกกำลังกาย สระว่ายน้ำบ้าน
พนักงานรักษาความปลอดภัย เป็นต้น การที่ผู้เข้าอยู่เมื่อเข้าไปอยู่ในโครงการบ้านจัดสรรของแต่ละโครงการแล้วก็ต้องปฏิบัติตามกฎระเบียบที่โครงการนั้นๆ ได้ระบุเอาไว้เพื่อที่จะได้ไม่เป็นการรบกวนต่อเพื่อนบ้านหรือผู้อยู่อาศัยท่านอื่นๆ
Gen Y เกิดช่วง พ.ศ. 2520-2538 ซึ่งเกิดมาพร้อมไลฟ์สไตล์เต็มไปด้วยเทคโนโลยี ดูหนัง ฟังเพลง เล่นเกมส์ มีพลังงานมาก ชอบการคิดนอกกรอบ การแสดงออก ความสร้างสรรค์และความท้าทาย จึงใช้ชีวิตอย่างสุดเหวี่ยง บ้าน
ดังนั้นเมื่อกลับมาบ้าน ความต้องการของคนกลุ่มนี้คือการพักผ่อนอย่างเต็มที่ กับพื้นที่ส่วนตัวของตัวเอง ที่ไม่เน้นความสบาย แต่เน้นฟังก์ชัน ความครีเอทีฟ มีสไตล์พร้อมเทคโนโลยีที่ครบครัน เพื่อตอบสนองการพักผ่อนทั้งกายและใจให้มากที่สุด
การเลือกซื้อที่อยู่อาศัยนอกจากต้องคำนึงเรื่อง ‘ราคา’ ให้เหมาะกับความสามารถในการผ่อนของตัวเองแล้ว ยังต้องคิดถึง ‘ฟังก์ชัน’ โดยเฉพาะคนที่กำลังมองหาบ้านพักอาศัยร่วมกับครอบครัว เพราะ ‘พื้นที่ใช้สอย’ จะเป็นตัวแปรสำคัญในการเลือก ไม่ว่าจะเป็นจำนวนห้องนอน ห้องน้ำ ห้องทำงาน ที่จอดรถและอีกสารพัดสารพัน หากมองข้ามจุดใดจุดหนึ่งไปคงทำให้การใช้ชีวิตในบ้านที่ยังต้องผ่อนกันไปอีกหลายสิบปีกลายเป็นฝันร้ายของเราแน่ๆ
ดังนั้น ก่อนตัดสินใจ ซื้อบ้าน สักหลัง อยากชวนทุกคนมาคิดทบทวนก่อนว่าตัวเลือกที่มีอยู่ในมือตอนนี้เหมาะกับการใช้ชีวิตของตัวเองไหม และที่สำคัญโครงการที่เลือกทำถูกต้องตามข้อกำหนด หรือเอาเปรียบผู้บริโภคอย่างเรา ๆ กันหรือไม่ เพื่อให้การซื้อบ้านครั้งนี้เป็นความสุขระยะยาวของทุกคนในครอบครัว
หลาย ๆ คนคงเดาว่ามันขึ้นอยู่กับ ‘ขนาดบ้าน’ และไล่ตามระดับราคา ถ้าบ้านหลังใหญ่ ราคาแพง รั้วไม่ติดกับใครก็เป็นบ้านเดี่ยว บ้านหลังเล็ก อยู่ติด ๆ กันก็เป็นทาวน์เฮ้าส์ แต่จริง ๆ แล้วการแยกประเภทที่อยู่อาศัยมีการระบุเป็นลายลักษณ์อักษรใน ‘ข้อกำหนดเกี่ยวกับการจัดสรรที่ดินเพื่อที่อยู่อาศัยและพาณิชยกรรมกรุงเทพมหานคร พ.ศ.2550’ หรือเรียกสั้น ๆ ว่า ‘ข้อกำหนดจัดสรร’ หมวด 2 ว่าด้วยขนาดและเนื้อที่ของที่ดินที่ทำการจัดสรรในพื้นที่กรุงเทพฯ ได้กำหนดบ้านพักอาศัยเป็น 3 ประเภทด้วยกัน คือ
จากข้อกำหนดที่พี่ทุยเล่ามา บางคนอาจสงสัยว่า ทำไมถึงใช้หน่วยเป็นตารางวา ไม่ใช่ตารางเมตร?
คำตอบก็คือ ‘ตารางวา’ ใช้สำหรับระบุ ‘ขนาดที่ดิน’ แปลงที่นำมารองรับตัวบ้าน ส่วน ‘ตารางเมตร’ จะบอก ‘ขนาดพื้นที่ใช้สอย’ หรือพื้นที่ในตัวบ้านทั้งหมดทุกชั้นนั่นเอง
ปัจจุบันด้วยราคาที่ดินที่แพงขึ้นเรื่อย ๆ ทุกปี ทำให้การซื้อบ้านหลังใหญ่เป็นฝันที่ไกลเกินเอื้อมสำหรับใครหลายคน แถมตัวผู้พัฒนาโครงการ หรือ Developer เองก็ได้รับผลกระทบตรงนี้ด้วย เพราะถ้ายังขายบ้านราคาเดิมก็จะได้กำไรน้อย แต่ถ้าขายแพง คนก็ไม่มาซื้อ Developer จึงหาทางออกในการพัฒนา จากปกติภายใน 1 โครงการจะเป็นบ้านประเภทใดประเภทหนึ่งทั้งหมด ก็เปลี่ยนมาทำโครงการ ‘มิกซ์โปรดักส์’ ที่มีบ้านมากกว่า 1 ประเภทไว้ในโครงการเดียว เช่น บ้านเดี่ยวทาวผสมน์เฮ้าส์ บ้านแฝดผสมทาวน์เฮ้าส์
ในมุมมองของพี่ทุย การซื้อบ้านในโครงการมิกซ์โปรดักส์จะทำให้เราได้ส่วนกลางที่ ‘เกินราคา’ เช่น ถ้าเราซื้อทาวน์เฮ้าส์ 3 ล้านบาทในโครงการที่มีบ้านเดี่ยวระดับ 7 ล้านบาท Developer จะพัฒนาพื้นที่ส่วนกลางโดยคำนึงถึงคนที่ซื้อบ้านเดี่ยวด้วย ดังนั้นส่วนกลางที่ได้อาจจะใหญ่กว่า หรือดีกว่าโครงการทาวน์เฮ้าส์อย่างเดียว เรียกว่าซื้อทาวน์เฮ้าส์ แต่ได้ส่วนกลางระดับบ้านเดี่ยว แต่พี่ทุยก็ต้องเตือนไว้อย่างหนึ่งว่าข้อเสียก็มีเช่นกันตรงที่เราอาจต้องเสีย ‘ค่าส่วนกลาง’ ที่แพงเกินจำเป็นก็ได้
อีกเรื่องที่ต้องคิดถึงคือขนาดของโครงการ แต่ความเล็กใหญ่ในที่นี้ไม่ได้เกี่ยวกับราคาบ้าน พี่ทุยกำลังพูดถึงจำนวนเพื่อนบ้านต่างหาก ซึ่งตาม ‘ข้อกำหนดจัดสรร กรุงเทพฯ’ นิยามเอาไว้ว่า
โครงการขนาดเล็ก คือโครงการที่มีที่ดินแปลงย่อยเพื่อจำหน่ายไม่เกิน 99 แปลง หรือพูดง่าย ๆ ว่าต้องมีบ้าน 1 หลังบนที่ดิน 1 แปลง รวมกันไม่เกิน 99 หลังภายในโครงการนั่นเอง และมีเนื้อที่รวมทั้งหมดไม่เกิน 19 ไร่
โครงการขนาดกลาง มีข้อกำหนดว่ามีที่ดินแปลงย่อยเพื่อจำหน่วย 100-499 แปลง และมีเนื้อที่ทั้งโครงการรวม 19-100 ไร่
โครงการขนาดใหญ่ เป็นโครงการที่มีที่ดินแปลงย่อยเพื่อจำหน่วย 500 แปลงขึ้นไป เนื้อที่ทั้งโครงการเกิน 100 ไร่
สำหรับใครที่ชอบความสงบ ไม่พลุกพล่านก็อาจเลือกซื้อบ้านในโครงการขนาดเล็ก ๆ แต่อย่าลืมกฎ economy of scale ว่ายิ่งจำนวนเพื่อนบ้านน้อย ก็มีความเป็นไปได้ว่าราคาบ้านจะแพงกว่าโครงการขนาดกลางและใหญ่ หรือถ้าหากมีงบจำกัดแต่ยังอยากได้ความเป็นส่วนตัว พี่ทุยคิดว่าคงต้องเลือกแปลงด้านในสุดแทน เพื่อไม่ให้คนเดินผ่านหน้าบ้านเราบ่อย ๆ
แม้ในรั้วบ้านจะมีที่จอดรถให้อย่างน้อย 1 คัน หรือมากกว่านั้นตามแต่ขนาดแปลงที่ดิน แต่ปัญหาสำคัญอย่างหนึ่งที่พบกันบ่อย ๆ และอาจทำให้เพื่อนบ้านทะเลาะกันได้ คงหนีไม่พ้นการจอดรถบังหน้าประตูบ้านคนอื่น หรือจอดตรงริมถนนในหมู่บ้านซึ่งถือเป็นพื้นที่ส่วนกลาง บางโครงการจึงกำหนด ‘ห้าม’ จอดรถนอกรั้วบ้าน หรือหากมีเพื่อนมาหาก็สามารถจอดได้แบบกำจัดเวลาเท่านั้น ฉะนั้นถ้าใครมีรถยนต์เกินจำนวนที่จอดรถในรั้วบ้าน พี่ทุยแนะว่าควรสอบถามทางโครงการว่ามีข้อห้ามอย่างไร หรือพื้นที่สำหรับเช่าจอดไหม เพื่อให้เราไม่มีปัญหากับเพื่อนบ้าน
นอกจากที่จอดรถแล้ว อีกเรื่องที่พี่ทุยคิดว่าควรถามคือ ‘ถนน’ ภายในโครงการ เพราะเรื่องนี้ถูกระบุไว้ใน ‘ข้อกำหนดจัดสรร กรุงเทพฯ’ ด้วยว่า ที่ดินแปลงย่อย ‘ทุกแปลง’ หรือบ้านทุกหลัง ต้องติดกับถนนภายในโครงการเพื่อให้รถยนต์สามารถเข้า-ออกได้ ทั้งยังกำหนดความกว้างของถนนในหมู่บ้านด้วยว่าควรมีขนาดขั้นต่ำเท่าไหร่ ถึงจะเหมาะสมกับจำนวนผู้อยู่อาศัย