ภาพวินเทจ
ภาพวินเทจ ช่วงหลายปีมานี้เรามักได้ยินคำว่าวินเทจกันบ่อยๆ ทั้งที่อาจไมได้เข้าใจในความหมายแท้จริงกันด้วยซ้ำว่าคำๆ นี้มันหมายถึงอะไร มีที่มาที่ไปยังไงกันแน่รู้แค่ว่ามันพูดแล้วรู้สึกเท่ดี บ้าน เลยเลือกพูดกันจนติดปาก แท้จริงคำนี้มันมีทั้งความหมายรวมถึงที่มาน่าสนใจไม่น้อย ยิ่งได้รู้ความหมายจะช่วยให้เราเลือกใช้คำๆ นี้ได้อย่างถูกต้องมากขึ้น ไม่ใช่อะไรก็เรียกว่า วินเทจ อย่างเดียว
วินเทจ ถือเป็นแฟชั่นแนวย้อนยุค เทียบง่ายๆ คล้ายของเก่าแบบไวน์ยิ่งบ่มไว้นานเท่าไหร่ยิ่งมีราคาแพงมากขึ้นเท่านั้น ดังนั้นงานวินเทจที่ถูกสร้างขึ้นมามักถูกทำเพียงแค่อย่างละไม่กี่ชิ้น บ้าน ไม่นิยมทำอย่างแพร่หลายจนกลายเป็นความเกร่อ ไม่สามารถมองหาได้ทั่วไปตามท้องถนนหรือร้านค้าริมทาง ต่อให้มีเงินมหาศาลขนาดไหนไม่ได้หมายความว่าจะเป็นเจ้าของงานวินเทจได้
ถือเป็นเสน่ห์อีกรูปแบบของงานวินเทจที่ไม่เหมือนใคร มีการนำเอาสิ่งเหล่านั้นมาประยุกต์ให้เข้ากับตัวเองจนกลายเป็นตัวตนพร้อมทั้งยังเอามาทำกับทุกสิ่งได้หมดจึงเกิดเป็นความนิยมของคนยุคนี้ บ้าน
หลายคนอาจคิดว่าวินเทจมันพึงเกิดขึ้นมาได้ไม่นานแต่จริงๆ วินเทจเป็นแฟชั่นยอดนิยมที่ถูกสนใจมายาวนานมาก บอกได้ว่าตั้งแต่อดีตเรื่อยมาเลยคงไม่ผิด การใช้แนววินเทจให้อยูรอบตัวเราสามารถทำได้หลากหลาย
เช่น การตกแต่ง, งานศิลปะ, เสื้อผ้า, รถยนต์ และอื่นๆ อีกมากมาย บางคนมักเข้าใจผิดว่าวินเทจต้องมาจากสินค้ามือสองเท่านั้น แต่วินเทจมันไม่จำเป็นต้องเป็นของที่ผ่านการใช้มาแล้วเสมอไป แม้เป็นของยังไม่ได้ใช้แต่ถูกเก็บเอาไว้ 20 ปี เมื่อเปิดออกมามันคืองานวินเทจได้เช่นกัน คนจำนวนมากชอบงานแนววินเทจเนื่อจากมองว่าได้ใช้จินตนาการพร้อมความเอาของเก่ามาผสมผสานเข้าด้วยกันอย่างเต็มที่
สร้างคุณค่าให้กับสิ่งที่บางคนมองว่ามันไร้ค่าเหมือนเสกให้กลับมามีชีวิตชีวาได้อีกครั้ง จากของไม่มีใครสนใจกลายเป็นของที่มีแต่คนแย่งกันเพราะอยากได้ มันคือความสุขของชีวิตเมื่อเราได้มีโอกาสสัมผัสกับความวินเทจตรงพื้นที่ต่างๆ การได้มองอออกไปแล้วพบเห็นว่ามีของวินเทจรอบตัวมันช่วยสร้างความสุขได้เสมอ home
ของบางอย่างใช้เวลาในการตกแต่งมากกว่าปกติหลาย มีทั้งรวมความคิด ลงแรงทำงานเพื่อให้สิ่งในความคิดเกิดมาดังตั้งใจไว้ ถือเป็นอีกสไตล์บนโลกใบนี้ที่เกิดขึ้นมาตอบสนองความต้องการไม่มีสิ้นสุดของมนุษย์เราแถมยังทำให้โลกสดใสขึ้นกว่าเดิม
สไตล์วินเทจ ( Vintage ) คืออะไร
การแต่งตัวในปัจจุบันนี้ นับว่ามีหลายแนวหลายสไตล์ให้เลือกในการแต่งตัว แต่ก็ยังมีอยู่สไตล์หนึ่ง ที่ยังได้รับความนิยมมาเป็นเวลานาน คือ สไตล์วินเทจ วันนี้เราจึงจะพามาดูกันว่า การแต่งตัวสไตล์วินเทจ นั้นคืออะไร สำหรับบ้างคนที่ยังไม่รู้ หรือยังไม่เข้าใจกันนะครับ วินเทจ คือ สิ่งของที่เป็นของเก่า แต่ดูแล้วคลาสสิค และล้ำค่า ไม่จำกัดว่าสิ่งนั้นคืออะไร ไม่ว่าจะเป็นเสื้อผ้า เครื่องประดับหรือของใช้ต่าง ๆ
รวมทั้งพาหนะที่เป็นของเก่า ก็เป็นสิ่งของที่เรียกว่าวินเทจได้หมด หากมีอายุมานานกว่า 20 – 30 ปี นับย้อนกลับไปตั้งแต่ปี 1970 – 1990 ยกตัวอย่างเช่น รถยนต์รุ่นเก่า ๆ ที่สมัยนี้จะเห็น หรือหาซื้อได้ยาก ก็นับว่า เป็นของวินเทจได้หมด และพวกเสื้อผ้าที่ผู้คนในสมัยนั้น นิยมใส่แต่งตัวกัน ยกตัวอย่างเช่น เสื้อหนัง เสื้อยืด วงดนตรียุค 90 เสื้อแถมไทย กางเกงยีนส์ขากระบอก กางเกงขาม้า ก็นับว่าเป็นการแต่งตัวที่เป็นไสตล์วินเทจด้วยเหมือนกัน
การแต่งตัวสไตล์วินเทจ เป็นการแต่งตัวที่เคยมีความนิยมกันอย่างมาก ในช่วงหนึ่ง ช่วงปี 1990 นับได้ว่าเป็นช่วงที่มีสไตล์การแต่งตัวมากมายหลายแนว ไม่ว่าจะเป็นแนว กรันจ์ พังค์ ฮิปปี้ ฮิปฮอป และแนววินเทจ เป็นต้น แต่วินเทจก็เริ่มมีความนิยมที่เบาบางลงไปในช่วงต้นปี 2000 จนในปัจจุบัน ก็เริ่มมีผู้คนกลับมาสนใจแต่งตัวสไตล์นี้กันเป็นจำนวนมากอีกครั้ง ไม่ว่าจะเป็นต่างประเทศหรือในประเทศบ้านเราเอง
เป็นการแต่งตัวที่ดูเท่ ดูมีเสน่ห์ และไม่เหมือนใคร มีเอกลักษณ์เป็นของตัวเอง ทำให้เวลาจะแต่งตัวแต่ล่ะครั้ง จะดูไม่น่าเบื่อเลย ในปัจจุบัน ก็มีผู้คนที่ได้นำมาประยุกต์ใช้ในการแต่งตัวให้เข้ากับสมัยใหม่ อาจจะมีการผสมผสานของเสื้อผ้าการแต่งตัว ให้ออกมาเป็นแนวของตัวเอง ที่ไม่เหมือนใคร แบบนี้ก็ได้เหมือนกัน เพราะไม่มีข้อจำกัดในการแต่งตัว การที่เราแต่งตัวออกมาเป็นสไตล์ตัวเอง จะทำให้ดูมีความเท่ และไม่เหมือนใคร นั้นแหละที่เรียกว่า วินเทจ ของจริง
วินเทจสไตล์…ความหมายของวันเวลา
ความนิยมในของเก่าที่มีคุณค่าทางประวัติศาสตร์มีมาช้านานแล้ว ไม่ว่าจะเป็นแฟชั่น รถยนต์ การตกแต่ง งานศิลปะ เหล้าไวน์ หรือแม้แต่ของใช้หรือาวุธโบราณก็มีคนนิยมสะสมกัน แต่ต้องยอมรับว่า ยุคนี้สมัยนี้ คำว่า วินเทจ (Vintage) นั้นกำลังได้รับความนิยมกันอย่างกว้างขวางมากกว่ายุคไหนๆ ที่ผ่านมา ทั้งที่หลายคนยังไม่รู้ชัดด้วยซ้ำว่า วินเทจ มีความหมายแท้จริงอย่างไร
ข้าวของเก่าทั้งหลายต้องมีอายุสักแค่ไหนกันจึงจะเข้าข่ายวินเทจ หรือคำว่า วินเทจ กับแอนทีค และเรโทร ต่างกันยังไง บางคนไม่รู้ก็เข้าใจผิดไปว่าเป็นของเก่าด้วยกันทั้งหมด เรียกตีขลุมมั่วๆมึนๆไปก็เห็นบ่อย ในขณะที่บางคนเข้าใจผิดว่า สินค้ามือสอง คือสินค้าวินเทจ ซึ่งก็ไม่ใช่เสมอไป
สินค้าวินเทจบางอย่างอาจเป็นของมือสอง แต่ไม่ได้หมายความว่า สินค้ามือสองจะต้องเป็นวินเทจ…เอาละสิ ชักงงแล้วใช่ไหม ถ้าพูดกันตามหลักการของนักสะสม หรือคนที่อยู่ในแวดวงศิลปวัฒนธรรม คำว่า วินเทจ หมายถึงของที่มีอายุย้อนไปจากปัจจุบันมากกว่า 20 ปี แต่ไม่เก่าไปถึงปี 1920 อย่างถ้านับจากตอนนี้คือปี 2013 ของวินเทจก็หมายถึงข้าวของในระหว่างปี 1921-1996 ถ้าเก่าเกินกว่านั้นเขาเรียก แอนทีค หรือ วัตถุโบราณ
ทั้งนี้ ของวินเทจไม่จำเป็นต้องมีสภาพเก่าหรือผ่านการใช้งานมาแล้ว ของใหม่ค้างสต๊อกนาน 20-30 ปีที่ยังไม่เคยถูกแกะกล่องมาก่อน เป็นของมือหนึ่งแท้ๆ ก็ถือเป็นของวินเทจเหมือนกัน แต่ถ้าถามว่า ปลากระป๋องที่ค้างสต๊อกมาสามสิบปีถือเป็นวินเทจหรือไม่…ก็ตอบยาก ตัวบรรจุภัณฑ์แน่นอนว่าเป็นวินเทจ แต่ของที่อยู่ข้างในอาจเปลี่ยนสภาพเป็นสารพิษไปแล้ว
ดังนั้น ของวินเทจจึงไม่ค่อยรวมของกิน ยกเว้นอาหารหรือเครื่องดื่มบางจำพวกที่เน้นการบ่มหมักเป็นเวลานานๆ โดยนอกจากจะไม่เสียคุณภาพแล้วยังเพิ่มรสชาติ เช่น เหล้าหรือไวน์บางชนิด ยิ่งบ่มนานยิ่งมีราคาแพง ส่วนคำว่า เรโทร ที่เข้าใจผิดกันเยอะว่าหมายถึงของเก่าเหมือนกัน ความจริงไม่ใช่ เพราะคำว่า Retro นี้มาจากการย่อสั้นของศัพท์คำว่า Retrospective
ซึ่งแปลว่า ย้อนยุค หมายถึงของที่ทำขึ้นใหม่แต่ได้แรงบันดาลใจหรือรูปแบบมาจากดีไซน์ดั้งเดิม หรือได้แบบมาจากของวินเทจ ดังนั้น เรโทร จึงไม่ใช่ของเก่า เพราะไม่โบราณ ไม่วินเทจ แม้ว่าข้าวของที่เป็น แอนทีค วินเทจ และเรโทร เมื่อนำมาจัดแต่งเข้าด้วยกัน ดูเผินๆ อาจจะเข้ากันได้ (สำหรับคนที่ไม่รู้เรื่อง)
แต่โดยคอนเซ็ปต์ลึกๆแล้ว ไม่จัดเป็นพวกเดียวกัน ส่วนใครจะชอบไม่ชอบก็ตามแต่รสนิยม จะใช้อย่างไรก็ไม่ผิด ตำรวจไม่จับ แต่อาจดูประดักประเดิด หัวมงกุฎท้ายมังกร อาจจะโดนคนรู้มากสอดสายตาหาเรื่องมาคอยติบ่นว่าดูกากๆ อันนั้นก็ตัวใครตัวมัน การตกแต่งบ้านด้วยสไตล์วินเทจ อาจทำได้ตั้งแต่การจำลองรูปแบบการออกแบบพื้นที่ใช้สอยที่เป็นสไตล์การออกแบบในยุคเก่ามาใช้ ร่วมกับการสรรหาข้าวของวินเทจมาประดับตกแต่ง
ไม่ว่าจะเป็น โต๊ะ ตู้เตียง เก้าอี้ โซฟา เคาน์เตอร์ แจกัน โคมไฟ ฯลฯ รวมไปถึงการเลือกสีสันลวดลายผ้าม่าน วอลเปเปอร์ หรือสีทาบ้าน ในที่นี้ ส่วนประกอบที่อนุโลมให้ใช้ของเรโทรเข้ามาเสริมได้บ้างเพราะหาของเก่าจริงได้ยาก ก็เช่น วอลเปเปอร์ พรม ซึ่งเป็นของที่ไม่สามารถยืนหยัดผ่านกาลเวลามาจากอดีตถึงปัจจุบันได้มากนัก จึงต้องมีการผลิตขึ้นใหม่ด้วยดีไซน์แบบเดิม
ความสนุกของการแต่งบ้านสไตล์วินเทจคือ เราสามารถนำเอาข้าวของที่มีดีไซน์ต่างสมัยมาผสมผสานเข้ากันได้อย่างหลากหลายโดยไม่น่าเกลียด ตราบเท่าที่อายุของสิ่งเหล่านั้นถูกนับว่าอยู่ในช่วงวินเทจด้วยกัน เพราะเมื่อจัดวางร่วมกันแล้ว จะยังคงมีลักษณะร่วมบางอย่างที่ทำให้ทุกองค์ประกอบยังคงเข้ากันได้อย่างน่าประหลาดใจ เช่น เก้าอี้ที่ออกแบบในยุคโมเดิร์นจากอเมริกา
อาจเข้ากันได้กับนาฬิกาแขวนผนังสไตล์จีนในยุคไล่เลี่ยกัน และโคมไฟวินเทจจากฝรั่งเศส เสน่ห์ของการแต่งบ้านด้วยของวินเทจคือ สินค้าหรือข้าวของที่ยืนหยัดผ่านกาลเวลามาได้นั้น มักเป็นข้าวของที่มีคุณค่าบางอย่างในตัวเอง ทำให้คนรุ่นต่อๆมาอยากเก็บสะสมเอาไว้ไม่ทิ้งหรือทำลาย เช่น มีลักษณะการออกแบบที่ดูสวยงามเป็นเอกลักษณ์ อาจผลิตด้วยวัสดุที่มีคุณภาพมาก
หรือบางชิ้นก็มีเรื่องราวทางประวัติศาสตร์ที่ทำให้มีคุณค่าทางจิตใจ เมื่อผ่านมาถึงมือเราได้ จึงเป็นการรับประกันอย่างกลายๆว่า ของสิ่งนั้นน่าจะดีจริงหรือมีความงามที่อยู่เหนือกาลเวลา ทำให้เมื่อเรานำมาจัดแต่งสถานที่ ก็มักจะสวยด้วยตัวมันเอง อีกทั้งยังช่วยให้ห้องหรือสถานที่ที่เราตกแต่งดูน่าสนใจและมีเรื่องราวมากขึ้นด้วย นอกจากนี้ การตกแต่งสไตล์วินเทจที่ประกอบด้วยข้าวของต่างยุคต่างถิ่น
ซึ่งเราอาจต้องไปสรรหามาจากหลายแหล่งไม่ได้ซื้อยกชุดเหมือนของใหม่ รวมถึงส่วนใหญ่อาจเป็นสินค้ามือสอง ทำให้เราสามารถจัดแต่งผสมผสานได้อย่างหลากหลายตามจินตนาการของเรา ไม่มีแบบแผนตายตัวหรือมีกฏเกณฑ์ของยุคสมัยมากำหนด ประกอบกับของเก่าที่มีร่องรอยการใช้งานในอดีตมาบ้าง ย่อมไม่เนี้ยบกริบ อาจมีตำหนิ หรือมีสีสันที่ซีดจางไปนิดหน่อย
แต่แฝงไว้ด้วยเรื่องราวในอดีตที่สัมผัสกับผู้ใช้งานแต่ละคนในแง่มุมที่แตกต่างกัน รายละเอียดเล็กๆน้อยๆ เหล่านี้ทำให้ผู้ใช้มีความรู้สึกสบายๆ ไม่ต้องระวังตัวมากนัก มีความเป็นกันเองกับบรรยากาศ รู้สึกอบอุ่นผ่อนคลาย เหมือนได้อยู่ในสถานที่เก่าๆที่คุ้นเคยในวัยเด็ก หรืออาจเป็นภาพจำที่เคยคุ้นจากหนังหรือหนังสือที่เคยอ่านในอดีต ช่วยระบายสีสันความทรงจำในวันวานให้แจ่มใสขึ้นมาได้อีกครั้งในหัวใจ